3/28/2554

จุดเริ่มต้นของการใช้ เอนไซม์บำบัด

การใช้เอนไซม์บำบัด (Enzyme Therapy), การมีเอนไซม์บกพร่อง (Enzyme Deficiency)เกิดจากหลายสาเหตุ


เอนไซม์


1. ถ้าทุกคนกินอาหารที่ปรุงแต่งอย่างปัจจุบันต้องมีปัญหาการขาดเอนไซม์ 
Dr. Dick Couey อาจารย์โภชนาการของBayloy University กล่าวว่า ในปัจจุบันพวกเรากินอาหารที่ไม่มีเอนไซม์ เพราะเป็นอาหารปรุงสำเร็จ (Processed) หรือ เอามาหุงต้ม (Cooked) ทำให้เอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย  ดร.คูอี้ได้ย้ำว่า ตนเองจะไม่กินอาหารอีกถ้าไม่มีเอนไซม์เสริมมากินร่วมด้วย (I will never eat another meal without taking a plant enzyme supplement)
ตามทฤษฎี ร่างกายต้องใช้เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) เพื่อย่อยอาหาร ถ้ามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) มาเสริมด้วยกัน จะช่วยย่อยได้ครึ่งหนึ่ง แต่อาหารที่กินในยุคสมัยนี้ไม่มีเอนไซม์ตามธรรมชาติ เพราะถูกทำลายจากการหุงต้ม ดังนั้นร่างกายจึงต้องไปดึงเอาเมตาบอลิค เอนไซม์ มาเปลี่ยนโฉมให้เป็นเอนไซม์ย่อยอาหาร ถ้าทำบ่อยๆ จะมีระดับเอนไซม์ (เมตาบอลิค) บกพร่อง และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ



2. ธรรมชาติสร้างตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme Inhibition) ไว้กับพืช  พืชซึ่งมนุษย์ใช้กินทุกชนิด มีเอนไซม์ทำการย่อยอาหารอยู่ในตัวของมันเอง มีตัวห้ามหรือตัวยับยั้งเอนไซม์ ยังไม่ยอมให้ทำงานจนถึงเวลาอันควร เช่นเมื่อผลไม้ต้องสุกตามฤดูกาล  โดยปกติตัวห้ามเหล่านี้จะเริ่มอ่อนแรง หรือหมดสภาพ ก็โดยสิ่งแวดล้อมรอบตัวมันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อเราเคี้ยวอาหารในปากก็คือ เรากำลังทำให้สภาวะเดิมรอบข้างของตัวห้ามเปลี่ยนไปจนตัวห้ามหยุดทำงาน ทำให้เอนไซม์ในอาหารเป็นอิสระ เพราะไม่มีอะไรมายับยั้ง แต่อย่างไรก็ดี ตัวห้ามก็ยังมีจำนวนสูงอยู่มากในพืชบางระยะของการเจริญเติบโต เช่น ยอดใบไม้ ยอดผัก พืชยังอ่อน เป็นต้น


ในบางกรณี ท่านอาจกินอาหารประเภทยอดผักอ่อนสดๆ ท่านก็จะกินตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme Inhibitor) เข้าไปมากจนพลอยเข้าไปห้ามการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตออกจากตับอ่อนของตัว ท่านเองเข้าไปด้วย กลายเป็นมีเอนไซม์ ติดลบ
 

ทางเลือกที่หนึ่งคือ ท่านอาจจะต้องกินเอนไซม์เสริมชดเชย
ทางเลือกที่สองคือ เอายอดผักมาต้ม เพื่อจะให้ความร้อนทำลายตัวห้าม (Inhibitor) แต่ก็จะพลอยทำลายเอนไซม์จากพืชซึ่งเป็นอาหาร (Food Enzyme) พร้อมกันไปเลยด้วย



3. อายุมากขึ้น การผลิตเอนไซม์ของร่างกายลดลง
ในสหรัฐอเมริกา นักวิทยาศาสตร์โรงพยาบาลไมเคิล รีส รัฐชิคาโก ได้ทำการวิจัยหาค่าของเอนไซม์อไมเลส (Amylase) ในน้ำลายจากคน 2 กลุ่มอายุด้วยกัน คือ กลุ่มหนุ่มสาว (21-31 ปี) กับกลุ่มคนชรา (69-100 ปี) พบว่า กลุ่มหนุ่มสาวมีเอนไซม์อไมเลสซึ่งใช้ย่อยอาหารประเภทแป้ง มากเป็น 30 เท่าของกลุ่มผู้สูงอายุ นี่คือเหตุผลที่ว่าเมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว กินอาหารประเภทสำเร็จรูป และ อาหารฟาสต์ฟู้ด (Fast Food) โดยไม่มีปัญหาการย่อย ไม่มีทางเจ็บป่วย แต่เมื่อแก่ตัว เอนไซม์ลดลง จะย่อยอาหารต่างๆ ได้ลำบาก ทำให้มีอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง และถ้าพฤติกรรมการบริโภคยังเป็นอยู่อย่างนี้ (Poor Eating Habits) ท่านอาจแก่ตัวเร็วกว่าเพื่อนๆ ของท่านได้



4. มีสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การย่อยอาหาร (Digestion) บกพร่อง วิธีง่ายๆ ในการแก้ไขคือ ให้กินเอนไซม์ที่ผลิตมาจากพืชจะทำให้อาการกระเพาะและลำไส้แปรปรวนทุเลาลง ได้  ถ้าศึกษาย้อนกลับไปหาสาเหตุก็คือ การย่อยอาหารไม่ดี การมีสารพิษ (Toxin) เนื่องจากมีกากอาหารที่ไม่ย่อย หมักหมมอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาการต่างๆ ดังกล่าว เชื่อว่าการกินเอนไซม์เสริมชนิดช่วยย่อยจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด


ถึงแม้ร่างกายผลิตเอนไซม์เพื่อย่อยอาหารได้เอง แต่สาเหตุที่ทำให้ผลิตเอนไซม์บกพร่อง ทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ที่พบบ่อยคือ
 

1.ขาดการออกกำลังกาย และอยู่ในที่สิ่งแวดล้อมมีมลภาวะ (Poor Life Style)
2.มีความเครียดทั้งทางร่างกาย หรือ ทางจิตใจ (Stress Physical or Mental)
3.ดื่มสุรา อาหาร หรือน้ำไม่สะอาด (Alcohol, Polluted Food or Water)
4.กินอาหารปรุงสำเร็จซึ่งเอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย (Not just Fast Food, Eat even Cooked Food)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น