9/21/2554

เอนไซม์ ชะลอความแก่ จากภายในสู่ภายนอก

เอนไซม์ ชะลอความแก่
ความสวย ความสาว


   มีใครรู้บ้างว่า การทำให้ดูอ่อนเยาว์และรักษาผิวพรรณให้ดูดี มีสุขภาพ ขึ้นอยู่กับสารอาหารในกระแสเลือด ผิวหนังชั้นใน หรือที่เรียกว่าหนังแท้ สร้างมาจากคอลลาเจน (โปรตีน) คอลลาเจนจะดึงสารอาหารที่ต้องการมาจากเลือด ส่วน ผิวหนังชั้นนอก หรือหนังกำพร้าจะไม่ได้รับการบำรุงจากภายใน มันจะตายไปและหลุดลอกออกอย่างต่อ เนื่องทำให้เซลล์ผิวหนังใหม่ ในชั้นหนังแท้ออกมาสู่ชั้นนอกสุด สิ่งนี้จะก่อให้เกิดกระบวนการผลัดเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องนำเซลล์ในที่ได้รับอาหารเต็มที่ขึ้นมาแทน นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เอ็นไซม์มีบทบาทสำคัญในการรักษาสภาพผิวหนังให้แข็งแรงเอาไว้ โดยทำให้มีสารอาหารไปบำรุงผิวหนังได้

• เอ็นไซม์ย่อยอาหาร


     ผิวหนังต้องการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ผิวหนังแข็งแรงและมีความยึดหยุ่น ถ้าระบบการย่อยอาหารขาดเอ็นไซม์ สารอาหารเหล่านี้จะ คงค้างอยู่ในอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วถูกขับออกโดยที่ไม่ผ่านการย่อย ทำให้ผิวหนังจะขาดการบำรุง อ่อนแอ และเกิดโรคผิวหนังได้ง่าย

• ภาวะพร่องเอ็นไซม์ย่อยอาหาร

     คนเราส่วนใหญ่เข้าใจไปว่าทุกวันนี้ได้รับอาหารที่เต็มไปด้วยเอ็นไซม์ธรรมชาติ อีกทั้งระบบย่อยอาหารก็หลั่งเอ็นไซม์เพื่อ ย่อยอาหารได้สารอาหารต่างๆ มาใช้พอเพียง และอาหารเพื่อสุขภาพหลายชนิดก็มีเอ็นไซม์อยู่แล้วแต่เหตุใดสภาพของผิวหนัง ของอีกหลายคนจึงบ่งชี้ว่าขาดเอ็นไซม์ สิ่งหนึ่งก็เพราะว่า เอ็นไซม์ในอาหารเป็นเอ็นไซม์ที่เสียสภาพได้ง่าย การปรุงอาหารด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ก็ทำลายเอ็นไซม์เสีย แล้ว และอาหารสมัยใหม่ ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารปรุงสุกผ่านกระบวนการต่างๆ ทั้งสิ้น จึงทำให้กลายเป็นอาหารที่ปราศจากเอ็นไซม์อย่างแน่นอน ประการที่สอง ไม่เพียงแต่อาหารหลายชนิด จะขาดเอ็นไซม์อย่างแน่นอน แต่ยังมีผลไปทำลายเอ็นไซม์ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาล และกาเฟอีน
โปรแกรมทางพันธุกรรมของเราซึ่งกำหนดรูปลักษณ์ของร่างกายก็มีส่วนกำหนดความสามารถในการย่อยอาหารด้วย คือ

1.ร่างกาย*แบบซุปปราจะย่อยโปรตีนได้ไม่ดี
2.ร่างกายแบบพาราจะมีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยคาร์โบไฮเดรต รวมไปถึงผัก ผลไม้และแป้ง
3.ร่างกาย*แบบเอโตรจะย่อยอาหารมัน ๆ ได้ไม่ดี
4.ร่างกายแบบ*นิวโรจะมีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยนม และอาหารที่ทำจากนม รวมทั้งอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตแทบทุกชนิด

เมื่อร่างกายเราขาดเอ็นไซม์ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม

      คุณจะสังเกตได้จากผิวหนังโดยเฉพาะการขาดเอ็นไซม์โปรตีเอส จะเห็นได้ชัดเจนมาก ทั้งนี้เนื่องจากผิวหนังต้องได้รับสารโปรตีนเป็นหลัก เอ็นไซม์ชนิดนี้จะทำ หน้าที่ย่อยสลายโปรตีน ดังนั้นหากขาดเอ็นไซม์โปรตีเอส ผิวหนังขาดอาหารอย่างแน่นอน

• อาการที่ปรากฏให้เห็น

     การได้รับเอ็นไซม์ย่อยอาหารที่พอเหมาะจะช่วยให้ผิวหนังดูดี พลังในการซ่อมแซมและบำรุงของเอ็นไซม์จะชัดเจนที่สุดในผู้ที่เป็นโรคผิวหนัง
     ตัวอย่างในการรักษาผิวด้วยเอ็นไซม์ที่เด่นชัดอัน หนึ่ง ตอนเด็กเป็นโรคเรื้อนกวาง มีผื่นแดงทั่วตัว โดยเฉพาะตามแขนพับ ขาพับ ตา และปาก หลายครั้งที่ แผลเฟะและเจ็บปวดมากจนต้องอยู่บ้านแทนที่จะไปโรงเรียน หมอสั่งให้พ่อและแม่ห่อตัวไว้ด้วยผ้าที่โชกยา เด็กมักนอนร้องไห้บนเตียงในขณะที่ใส่ชุดมัมมี่ อาการผืนแดงเป็นแบบมีหนองไหลออกมา เมื่อเกาที่แผลหรือเมื่อแผลแห้งแตกจะทำให้มีหนองไหลออกมาทำให้แผลขยายวงออก ไปอีก ไม่สามารถบอกได้ถึง ความยากลำบากเพียงใดหรือรู้สึกอายเพียงใดระหว่างที่เป็นโรคอันทุกข์ทรมาน นั้นหลายปี
  พอโตขึ้นอาการก็ทุเลาลง แต่ไม่เคยปราศจากจากแผลและสะเก็ดแผลเลย เมื่อใดก็ตามที่เครียด อาการจะเริ่มที่หัวตา ปาก และที่ข้อพับแขน ซึ่งยิ่งทำให้เครียด
และไม่สบายตัว ทำให้อายจนต้องยกเลิกนัดต่างๆวนเวียนอยู่เช่นนี้ ต่อมาเริ่มเรียนรู้ผลของการรักษาผิวหนังด้วยเอ็นไซม์ จึงเริ่มด้วยการเสริมเอ็นไซม์หลายชนิด ประกอบด้วย เอนไซม์โปรตีเอส เอนไซม์ไลเปส เอนไซม์เซลลูเลส และเอนไซม์อะไมเลส โดยทานเอ็นไซม์เหล่านั้นไปพร้อมกับอาหารหลักทั้ง 3 มื้อ และทาน เอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณที่สูงในระหว่างมื้ออาหารและในขณะท้องว่างอีกด้วย บำบัดตนเองอย่างต่อเนื่องจวบจนทุกวันนี้และไม่มีอาการทางผิวหนังที่เป็น โรคประจำตัวมานานกว่า 40 ปี

 
การขับสารพิษ

     ร่างกายคนเราใช้ ตับ ไต ลำไส้ใหญ่ ปอดและผิวหนังเป็นแหล่งล้างพิษ หากเรามีปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายปัสสาวะหรือดื่มน้ำน้อยเกินไปจะทำให้ไตกำจัดพิษได้ไม่สมบูรณ์ ปัญหาเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นที่ลำไส้ใหญ่เมื่อเราต้องทรมานกับอาการท้องผูก หรืออาการท้องเสีย ปอดก็ไม่สามารถ ขับพิษออกได้หากเราสูบบุหรี่หรือหายใจเอา มลพิษเข้าไป แล้วเหลืออะไรล่ะทีนี้? ผิวหนังของเราก็ต้องทำหน้าที่ใน การขับพิษแทน ซึ่งจะแสดงอาการในรูปแบบที่สังเกตได้ชัดเจนเช่น สิว ผิวตกสะเก็ด โรคผิวหนังเรื้อรัง สิวหัวดำและเซลลูไลท์

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม


โทร 081-5581828 / 086-3024048



ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

7/18/2554

มหัศจรรย์..ย้อนเวลาหนุ่ม-สาว..!!!

มหัศจรรย์...ย้อนเวลาความหนุ่ม-สาว..!!!

http://www.thairath.co.th/media/content/2010/06/15/89765/hr1667/630.jpg
ย้อนเวลาหนุ่ม-สาว































ก่อนอื่นเรามารู้กันก่อนนะครับว่าทำไมคนเราถึงแก่ลง


นั้นเป็นเพราะการทำงานของต่อมไร้ท่อและอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์จะค่อยๆ ลดลง ขณะที่เราอายุมากขึ้น พร้อมๆ กับอาการที่บ่งบอกถึงความชราภาพของเรา สาเหตุหลักของความแก่ประกอบ ด้วยเซลล์ที่เสื่อมลงและมีสารพิษเป็นส่วนเกินของร่างกาย สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นถึงระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงจากภาวะที่ถูกทำลาย ซึ่งมีสาเหตุจากอนุมูลอิสระที่มีเจือปนอยู่ในเลือด เราพบว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างปัญหามากที่สุดใช้หรือไม่ ตรงกันข้ามสิ่งที่สำคัญที่แท้จริง คือ การขาดสารอาหาร จากนี่ท่านจะได้เรียนรู้ว่าการเสริมอาหารด้วยเอ็นไซม์ จะช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้นได้


สาเหตุของความแก่

1.  ทานอาหารไม่สมดุล

2.  สูบบุหรี่-ดื่มสุรา
3.  อนุมูลอิสระทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อเสื่อม
4.  น้ำตาลทำให้โปรตีนเสื่อม
5.  มลพิษและสารเคมีต่าง ๆ ทำให้โปรตีนเสื่อม
6.  การอักเสบเรื้อรังทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะเสื่อม
7.  การขาดเอนไซม์


เราสามารถป้องกันความชราได้..!!!

ความชราคือโรคชนิดหนึ่งที่รักษาให้หายได้ หรือในอีกแง่หนึ่ง เราสามารถ ฟื้นฟูความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ โดยการกินและการออกกำลังกาย ที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ตลอดจนได้เอ็นไซม์ ในมื้อการ ย่อยอาหารและระหว่างมื้อเพื่อระบบการซ่อมแซมร่างกาย ก็จะทำดูเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นได้ เราปรารถนาที่จะช่วยคุณฟื้นฟูสุขภาพพลานามัย และย้อนคืนความเป็นหนุ่มสาวเพื่อชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณค่ามากขึ้น

แต่หากท่านขาดเอนไซม์


เอ็นไซม์เป็นตัวช่วยชะลอกระบวนการแก่ และกำจัดอนุมูลอิสระ เมื่อใดก็ตามที่เรา ทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง เอ็นไซม์จะลดลงทำให้มีการย่อยอาหารไม่ดี ระบบต่อมไร้ท่อ ไม่สมดุล น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคอ้วน มีคลอเลสเตอรอลสูง มีไตรกลีเซอไรด์สูง และมีความตึงเครียด และหากท่านมีชีวิตที่ยุ่งเหยิง ต้องเดินทางตลอดเวลา และไม่สามารถทานอาหารต่าง ๆ ที่มีในท้องตลาดที่ท่านอาศัยอยู่ ปริมาณเอ็นไซม์ที่สะสมอยู่ในร่างกายของท่านจะมีน้อยกว่าปกติมาก

นั้นก็คือ จำเป็นต้องได้รับเอนไซม์เสริม เอ็นไซม์จะช่วยในการกำจัดสารพิษในร่างกาย โดยไปช่วยกระตุ้นการย่อยสลายของเอนไซม์ในการกำจัดสารพิษ

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048


ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม
 

6/22/2554

เอ็นไซม์กับการควบคุมน้ำหนัก..!

การควบคุมน้ำหนัก

การควบคุมน้ำหนัก


ความอ้วนนั้นเกิดจากร่างกายขาดเอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase) ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารสดแต่จะถูกทำลายไปด้วยการปรุงอาหารให้สุก เมื่อไม่มีเอ็นไซม์นี้ก็จะเกิดการรวมตัวของไขมันที่หลอดเลือดซึ่งจะนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจ เอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase) มีประโยชน์ในการ เปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน 

ดังนั้นการกินอาหารปรุงสุกจึงทำให้เราอ้วนได้มากกว่าการกินอาหารสด ตัวอย่าง เช่น คนที่เลี้ยงสุกรจะไม่ให้สุกรของ ตนเองกินมันฝรั่งดิบเพราะมีผลให้สุกรดูซูบผอม แต่จะให้สุกรกินมันฝรั่งที่ต้มสุกแล้วซึ่งจะได้สุกรที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ อีกเหตุผลหนึ่งที่สามารถอธิบายว่า ทำไมเอ็นไซม์จึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้ นั้นคือการกินอาหารที่ปรุงสุกแล้วจะมีผลต่อต่อม pituitary อีกทั้งเอนไซม์จะมีผลต่อฮอร์โมน และฮอร์โมนก็ มีผลต่อระดับของเอ็นไซม 
ดังนั้นการกินอาหารปรุงสุกที่ปราศจากเอนไซม์ในอาหารก็จะเป็นการดึงเอ็นไซม์จากแหล่ง อื่นเช่น ตับอ่อน ไทรอยด์ และ ต่อม pituitary นำไปใช้ในกระบวนการย่อยอาหาร ผลที่ตามมาจะทำให้ร่างกายรู้สึกเฉื่อยชา และน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นดังนั้นแคลอรีที่ได้รับจากอาหาร สดนั้นจะไม่มีผลในการกระตุ้นต่อมต่างๆให้ผลิตเอ็นไซม์ อีกทั้งยังรักษาสมดุลน้ำหนักร่างกายไว้ได้มากกว่าการได้รับแคลอรีจากอาหารที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว

คนอ้วนนั้นมีปริมาณของเอนไซม์น้อยกว่าคนผอมหรือเปล่า ?

คนอ้วนจะมีเอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase) น้อยว่าคนผอม ซึ่งนักวิจัยของมหาวิทยาลัย Tufts ทำการตรวจสอบเซลล์ไขมันของคนอ้วนพบ ว่ามีปริมาณเอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase) ต่ำ ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นความจริงที่ว่าคนอ้วนหรือคนที่มีความผิดปกติของการ สะสมของคลอเลสเตอรอล ในร่างกายนั้น มีความบกพร่องมาจากการย่อยสลายไขมันบริเวณกระเพาะส่วนบนนั้นเอง


ฉันชอบกินสลัด นั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวฉันหรือไม่ ?

จะดีมากถ้าในสลัดของคุณมีผักสดอยู่ปริมาณมาก อย่างไรก็ตามแค่ผักสดอย่างเดียวคงมีเอนไซม์ไม่ พอเพียงในการช่วยย่อยสลายเนื้อสัตว์ มันฝรั่ง และขนมปัง ที่คุณกินเข้าไป ให้พยายามปรับอัตราส่วนของอาหารที่กินให้มีอาหารสดอยู่ 75 เปอร์เซ็นต์ และอาหารปรุงสุก 25 เปอร์เซ็นต์ พยายามกินผลไม้ ผัก ถั่ว และธัญพืช แต่ถ้าคุณไม่สามารถทำได้ คุณควรที่จะได้รับการเสริมเอ็นไซม์เพื่อเสริมให้มีสุขภาพที่ด



สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048


ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

5/05/2554

เอนไซม์ ช่วยชะลอความแก่

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxjPpq0M2mgPGg3ZpngXbo2fAMo2RJycyucSRPbevCD3NV3ig1_8gv-b_IMNAW4x5TKoYHf6pmBH8_D6L4Fd8NC1utoli2SlvGQaUatTs041UIQNWXSfsrFTo-n7bQdPomQ5VobHMFMMo/s1600/5.jpg
การที่เราอายุมากขึ้นร่างกายจะสามารถผลิตเอนไซม์ได้น้อยลง มีผลให้เอนไซม์ใน ร่างกายมีปริมาณลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น และเริ่มมีผลทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา นักวิจัยแห่งโรงพยาบาลไมเคิล รีส พบว่าคนที่มีอายุมากจะมีเอนไซม์สำหรับย่อยแป้ง (เอนไซม์ อะไมเลส) ในน้ำลายน้อยกว่าคนที่มีอายุน้อย ๆ

     ดร.เอ็ดเวิร์ด โฮเวล พบว่า ยิ่งคุณใช้เอนไซม์ที่ผลิตในร่างกายเร็วเท่าใดคุณจะใช้เอนไซม์ที่สะสมอยู่หมดไปเร็วเท่านั้น “เมื่อเราทานอาหารที่ปรุงสุกแล้ว อาหารจะปราศจากเอนไซม์ ทำให้ร่างกายต้องผลิตเอนไซม์ในกระบวนการย่อยอาหารทั้งหมด ร่างกายจะสูญเสียเอนไซม์สะสมที่มีในปริมาณจำกัด และเราเชื่อว่าเป็นหนึ่งในหลายสาเหตุที่สำคัญของความแก่และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรนั่งเอง”

     ดร.เม็ทชนิคอฟ กล่าวว่า ชาวชนบทบัลแกเรียมีอายุยืนยาวเนื่องจากเอนไซม์ใน ร่างกายถูกนำไปอย่างช้าๆ ในระหว่างการดำเนินชีวิตเพราะว่าอาหารส่วนใหญ่ จะประกอบ ด้วยนมสดหมักให้กลายเป็นนมเปรี้ยว และอาหารที่ยังไม่ผ่านการปรุงให้สุกอีกหลายชนิด ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเอนไซม์ก่อนเวลาที่กำหนด เราอาจบริโภคอาหารสดทุกวันและเสริมด้วยเอนไซม์ที่ ช่วยการย่อยอาหารกล่าวอีกอย่างได้ว่า การผลักดันให้ร่างกายผลิตเอนไซม์สำหรับกระบวนการย่อยอาหาร จะจำกัดความสามารถของร่างกายในการผลิตเอนไซม์ ที่ต้องใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกายในการผลิตเอนไซม์ที่ต้องใช้ในการเสริมสร้างและซ่อมแซม ร่างกาย การบริโภคเอนไซม์เป็นอาหารเสริมร่วมกับอาหารไม่เพียงแต่ช่วยการย่อยอาหารเท่านั้น ยังช่วยในการเสริมสร้าง ซ่อมแซม และยังทำให้ดูเป็นหนุ่มเป็น
สาวมีความกระชุ่มกระชวย ที่สำคัญคือช่วยในด้านประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์อีกด้วย

     เราต่างมีความภูมิใจเมื่อผิวของเราเนียนใส กระจ่าง แต่ในทางกลับกันเราจะไม่มั่นใจเมื่อผิวแห้งแตก ซีด เหี่ยวย่นและไม่มีชีวิตชีวา ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการ สร้างเซลล์ใหม่ของผิวหนังจึงดึงดูดใจพวกเรานัก ที่แปลกคือ เอนไซม์มักถูกมองข้ามในการแก้ปัญหาเกี่ยว กับผิวหนังเสมอทั้ง ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการคงสภาพ และดูแลผิวของเรา

     เอนไซม์เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพและลักษณะของผิวหนังของเรา
พวกมันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการทำงานในการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ ทำให้ได้สารอาหารต่างๆ มาเสริม สร้างผิวพรรณให้สดใส เอนไซม์เป็นแหล่งพลังงานที่อยู่ เบื้องหลังการไหลเวียนของสารอาหารต่างๆ ที่ส่งไปให้ผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ

เอนไซม์เป็นตัวช่วยลดอาหารที่ปรากฏทางผิวหนังซึ่งเป็นผลจากขบวนการกำจัดพิษของร่างกาย เอนไซม์ชะลอกระบวนการแก่ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากผิวหนังที่เหี่ยวย่น

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048


ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม


4/30/2554

เอนไซม์มีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อของร่างกายอย่างไร ?

เอนไซม์มีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อของร่างกายอย่างไร ?



ในการกินอาหารที่ผ่านการปรุงสุกจะทำให้ระบบต่อมไร้ท่อทำงานหนัก ซึ่งมีผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคอ้วนในระบบต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะต่อมไทรอยด์และสมองส่วน hypothalamus จะทำงานควบคู่กันในการควบคุมความอยากอาหาร ต่อมพวกนี้จะรับรู้ทันทีว่าร่างกายต้องการอาหาร เพียงพอแล้วหรืออาการอิ่มนั้นเอง ซึ่งจะเป็นการปิดความต้องการอาหารจากสมอง การกินอาหารสดนั้นจะช่วยลดภาวะตึงเครียดของระบบต่อมไร้ท่อ แต่ถ้าใน อาหารสูญเสียเอ็นไซม์ไป จากการปรุงสุกแล้ว ระบบต่อมไร้ท่อจะขาดสารอาหารจึงทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของอวัยวะที่ เกี่ยวกับการย่อยอาหาร ความต้อง การอาหารก็จะเพิ่มตาม ส่งผลให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนจากต่อมต่าง ๆ มากเกินไป การกินอาหารจึงเพิ่มขึ้น อ้วนขึ้น การผลิตฮอร์โมนก็มากเกินความจำเป็น ศักยภาพของเอ็นไซม์จะลดต่ำลงเนื่องจากต้องถูกนำมาใช้ในการเพิ่มเมตาบอลิซึม การกินอาหารที่ปราศจากเอนไซม์เป็นสาเหตุให้ต่อม pituitary ต่อมไทรอยด์
ต่อม adrenal และต่อมสืบพันธุ์ทำงานผิดปกติไป ซึ่งคุณควรรู้ในความจริงที่ว่า ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ และระบบการย่อยอาหาร ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเอ็นไซม์ทั้งสิ้น

เอนไซม์มีผลต่อต่อม Pituitary อย่างไร ?

     การกินอาหารที่ขาดเอ็นไซม์เป็นระยะเวลานานจะมีผลรุนแรงต่อขนาดและลักษณะของต่อม Pituitary ของสัตว์ที่กินอาหารพร่องเอนไซม์จะ ถูกทำลายเช่น เดียวกันกับมนุษย์ที่กินอาหารที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว ลักษณะที่เปลี่ยนไปของต่อมนี้จะมีผลต่อการลำเลียงเลือดที่แย่ลง ปริมาณของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเพิ่มขึ้น และเกิด การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ของต่อม pituitary ออก พบว่าปริมาณเอ็นไซม์ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสัตว์ปกติซึ่งแสดงให้เห็นว่าฮอร์โมนมีผลต่อ กิจรรม ของเอนไซม์ และเอ็นไซม์ก็จำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน

4/21/2554

เอนไซม์ กับการบำบัด ถุงน้ำดี

เอนไซม์ กับการบำบัด ถุงน้ำดี


http://www.bangkokhealth.com/cimages/gallstone06.jpg 

อาการเรอ สะอึก อึดอัดบริเวณหน้าอก หายใจลำบาก ท้องเสีย มีแก๊สในลำไส้ กรดไหลย้อน หายใจถี่ ปวดหัว และท้องผูก อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการทำงาน หนักของถุงน้ำดี เนื่องจากอาหารไม่ย่อย ปัญหาของถุงน้ำดีเกิดจากความสามารถในการย่อยสลายไขมันลดลงและสภาวะกรด ด่าง(pH) ของระบบย่อยอาหาร เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป

ถ้าคุณมีอาการดังต่อไปนี้แสดงว่าถุงน้ำดีคุณมีปัญหา..!

- อาเจียน หรือ ท้องเสียหลังจากรับประทานอาหารในทันทีหรือไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น
- ปวดหัวก่อน หรือ หลังรับประทานอาหาร
- อาเจียนลดลงหลังจากได้รับประทานอาหาร หรือ มีการบีบตัวของลำไส้
- สะอึก และ เรอ
- อ่อนเพลียหลังรับประทาน
- อาหารไม่ย่อย
- ท้องเสียสลับท้องผูก
- ปวดบริเวณท้องด้านบนขวา
- อักเสบหรือกดแล้วเจ็บบริเวณชายโครง

ถุงน้ำดี ทำงานหนักเนื่องจากสุขนิสัยที่ไม่ดีในการรับประทานอาหาร เมื่อทานอาหารที่มีความเป็นด่างมากเกินไป ถุงน้ำดีต้องผลิตน้ำดีมากขึ้นทำให้เกิดการ บีบรัดของลำไส้ เราจึงรู้สึกอยากอาเจียนและท้องเสีย 
อาหารที่มีความเป็นด่างมากได้แก่ ผลไม้ ผัก น้ำผลไม้ ถั่ว และเมล็ดธัญพืชต่างๆ นอกจากนี้อาหารที่มีไขมันมาก ไอศกรีม ของหวาน อาหารเม๊กซิกัน อาหารอิตาเลียน อาหารจีน และ ช็อกโกแลตก็มีผลต่อการทำงานของถุงน้ำดีเช่นกัน

ถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับลักษณะของร่างกาย

ร่างกายแบบที่ 1 ถุงน้ำดีทำงานหนัก เมื่อร่างกายรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่เป็นด่างมากเกินไป 
ร่างกายแบบที่ 2 ถุงน้ำดีทำงานหนัก เนื่องจากย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี ดังนั้นถ้ารับประทานอาหารที่มีโปรตีนต่ำแต่คาร์โบไฮเดรตสูง 
น้ำดีจะถูกสร้างน้อย ถุงน้ำดีไม่สามารถหลั่งน้ำดีได้ และ ตับไม่ถูกกระตุ้น ให้สร้างน้ำดี ในปริมาณที่พอเหมาะ ไขมันจึงไม่ถูกย่อยสลาย  
เอ็นไซม์ ที่ใช้ในขบวนการเผาผลาญพลังงานไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้นขบวนการย่อยสลายไขมัน เกิดได้ไม่สมบูรณ์ไขมันที่ไม่ย่อยจะรวมกับเหล็ก และแคลเซียมในอาหาร มีสภาพเป็นสบู่ที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้ลำไส้ดูดซึมเกลือแร่ต่างๆเข้าสู่กระแสเลือดไม่ได้ เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของโลหิตจางและยังทำให้เกิดโรคกระดูกบาง 
นอกจากนั้นการขาดน้ำดีทำให้การดูดซึมแคโรทีน วิตามิน เอ, ดี, เค และกรดไขมันที่จำเป็นลดลง นำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการ 
ทำให้ต้องเข้าใจว่าการรับประทานอาหารที่ดีนั้นไม่เพียงพอ ถ้าอาหารเหล่านี้ถูกย่อยสลายไม่สมบูรณ์หรือไม่เหมาะสมกับชนิดของร่างกายคุณสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหามากมาย หนึ่งในปัญหาที่สำคัญคือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณทำงานได้ไม่ดีพอ 

ดังนั้นเอนไซม์เสริมการย่อยอาหารจะทำ ให้ระบบการย่อยอาหารนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048


ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

4/19/2554

เอนไซม์ช่วยรักษาการนอนไม่หลับได้หรือไม่?

ความต้องการในการพักผ่อน ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ อายุ สภาพร่างกาย และสุขภาพ เช่น คนอายุน้อย จะต้องการการพักผ่อน มากกว่าคนสูงอายุ สภาพร่างกายคนบางคนพักผ่อนน้อย ก็สดชื่นทำงานได้ดี และในคนที่สุขภาพไม่ดี มีโรคทางกาย ก็ต้องการการพักผ่อน มากกว่าคนที่สุขภาพดีกว่า เป็นต้น
http://www.healthnet.in.th/wp-content/uploads/2010/01/yawn.jpg

สาเหตุของการนอนไม่หลับ เกิดจากปัจจัยทางกาย ทางจิตใจ และสภาพแวดล้อมของการนอน 

หากอาการนอนไม่หลับเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนในระบบต่อมไร้ท่อ การรับประทานเอ็นไซม์ทำให้เกิดผลที่น่าพอใจ

นอกจากนี้การพร่องเอ็นไซม์กลุ่มเมตาบอลิซึมจะ ส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนของต่อม Pituitary ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับด้วย ดังนั้นการกินอาหารสดและ เอนไซม์เสริมจะช่วยในการรักษาสมดุลของระบบต่อมไร้ท่อได้

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048


ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

4/11/2554

เอนไซม์ ช่วยรักษาอาการปวดหัวของไมเกรนได้หรือไม่?

เอนไซม์ช่วยรักษาอาการปวดหัวของไมเกรนได้หรือไม่?




อาการปวดหัวจากไมเกรนบางครั้งมีสาเหตุจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนหรือ การทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เนื่องจากต่อม pituitary ควบคุมการ หลั่งฮอร์โมนของต่อมไร้ท่อทั้งหมด และการกินอาหารที่ไม่มีเอ็นไซม์เลย นั้น จะกระตุ้นต่อมพิทูอิทารีให้ทำงานหนัก ซึ่งการหลั่งฮอร์โมนในปริมาณที่มากเกิน ไปจะทำให้เกิดความไม่สมดุลของของฮอร์โมนสาเหตุของอาการปวดหัว จากไมเกรนอีกทางหนึ่งเป็นไปได้จากสารพิษ ที่พบในลำไส้ใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากกระบวน การย่อยอาหารที่บกพร่องดังนั้นการกินอาหารสด หรือเอนไซม์เสริมจะสามารถลดอาการปวดหัวจากไมเกรนได้

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048


ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

4/05/2554

เอนไซม์ ทำให้เราต้านทานต่อโรคได้หรือไม่ ?

เอนไซม์ ในอาหารสามารถทำให้เราต้านทานต่อโรคได้หรือไม่ ?


   

ในเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน และระดับของ เอ็นไซม์ในร่างกาย ถ้าเรามีระดับ เอนไซม์ในร่างกายสูง ระบบภูมคุ้มกันของเราก็จะดีตามไปด้วย ผลที่ได้ก็คือสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ในเม็ดเลือดขาวจะมีเอ็นไซม์ อะไมเลส (amylase enzyme) ที่แตกต่างกันอยู่ 8 ชนิด ซึ่งเป็นกลไกในการช่วยให้เม็ดเลือดขาวต่อต้านต่อสิ่งแปลกปลอม และเปลี่ยนสิ่งแปลกปลอมนั้นให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถกำจัดทิ้งออกไปได้ มีผลจากการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเรากินอาหารที่ผ่านการปรุงสุกปริมาณของเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มสูงขึ้นซึ่งร่างกายจะสร้างขึ้นมา เพื่อรักษาสมดุลของเอ็นไซม์ที่ ถูกดึงไปจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อนำไปใช้ในการย่อยอาหาร แต่เมื่อเปลี่ยนมากินอาหารสดกลับพบว่าปริมาณของเม็ดเลือดขาวไม่ได้เพิ่มขึ้น เลย และยังมีการศึกษาพบว่าเอนไซม์นั้นยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคทุกโรคที่เกิดขึ้นผ่านทางระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อระบบการสร้างเอ็นไซม์ชนิดใดชนิดหนึ่งเสียไป ร่างกายทุกส่วนก็จะได้รับผลกระทบ เราจึงควรได้รับเอนไซม์เสริมจากภายนอกเช่น การกินอาหารสดหรือการกินเอ็นไซม์เสริม เพื่อนำมาใช้ในการต่อต้านกับโรคต่าง ๆ

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048


ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

4/01/2554

เอนไซม์ สามารถช่วยป้องกัน โรคหัวใจ ได้หรือไม่?

โรคหัวใจ


เอ็นไซม์ สามารถช่วยในการรักษา โรคหัวใจบางชนิดได้ เช่น artherosclerosis, ความดันสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ โรคหัวใจอาจเกิดได้จากหลากหลาย สาเหตุ สาเหตุหนึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการย่อยสลายและการดูดซึมไขมันที่ลำไส้เล็กไม่ สมบูรณ์ และเมตาบอลิซึมของไขมันในระดับเซลล์ขัดข้อง อันเป็นผลมาจากความ ผิดปกติของ เอ็นไซม์ ไลเปส (Lipase Enzyme)

     
เอ็นไซม์พบได้ใน 2 แหล่ง

     หนึ่งในอาหารที่เรากิน เช่น เนยสดและไขมันสัตว์ ชาว Eskomo กินไขมันกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก และก็ไม่เคยมีรายงานว่าชาว Eskomo เป็น โรคหัวใจในแถบที่อยู่อาศัยของพวกเขาเลย

     สองการได้รับเอ็นไซม์เสริมซึ่งจะทำงานที่ กระเพาะอาหารส่วนต้น ช่วยในการสลายไขมันให้อยู่ในรูปที่ง่ายต่อการทำงานของเอ็นไซม์ ไลเปส (Lipase Enzyme) ที่หลั่งจากตับอ่อน สารเอ็นไซม์ ไลเปส (Lipase Enzyme) ที่พบบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งหลั่งออกมาจากตับอ่อน (pancreatic lipase) ช่วยในการย่อยสลาย ไขมันให้อยู่ในรูปที่ดูดซึมได้



สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048



ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

เอนไซม์ กับ การบำบัด มะเร็งเม็ดเลือดขาว..!

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หมายถึง ภาวะที่เม็ดเลือดขาวกลายเป็นมะเร็ง มีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างมากมาย จนร่างกายของเราไม่สามารถควบคุมมันได้ เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร และมีภูมิคุ้มกันต่ำ

รูปแสดงเซลล์เม็ดขาวเลือดปกติ

รูปแสดงเซลล์เม็ดขาวที่เป็นมะเร็งพบว่าเป็นเซลล์ตัวอ่อน

เอนไซม์ สามารถช่วยในการย่อยสลาย และลดการสร้างเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหลายราย ประสบผลสำเร็จในการรักษาโดยการกินอาหารเสริมเอ็นไซม์ ซึ่งมีผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า เอ็นไซม์ช่วยเร่งการสร้างเม็ดเลือดขาวให้สูงขึ้น

จากการศึกษาของแพทย์พบ ว่า การเสริมเอ็นไซม์ โปรติเอส (Protease Enzyme) ในปริมาณสูง จะช่วยในการรักษาสมดุลของเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวในร่างกายได้

สนใจรายละเอียดสินค้าเอ็นไซม์ คลิกที่นี่

สนใจสินค้า หรือสอบถามเพิ่มเติม

โทร 081-5581828 / 086-3024048

ขอรับข้อมูลเพิ่มเติ่ม

3/31/2554

เอนไซม์ กับการช่วยบำบัด โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ คืออะไร ?

ภูมิแพ้ คือ ปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้  เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้  ( Allergen ) เข้าไป ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเคมีบางชนิด  ซึ่งทำให้ร่างกายมีการตอบสนองในลักษณะแตกต่างกันเช่น  มีน้ำมูก  คัดจมูก  มีผื่นขึ้นตามบริเวณผิวหนัง  คันในดวงตา  เป็นต้น สารก่อภูมิแพ้ จะมีลักษณะแตกต่างกันไปแต่บุคคล เมื่อร่างกายได้รับสารดังกล่าวจะทำให้เกิดปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป สารก่อภูมิแพ้  ได้แก่ ไรฝุ่น ขนสัตว์ต่าง ๆ หรือละอองเกสรดอกไม้ เป็นต้น
 
jam โรคภูมิแพ้ 

เอนไซม์ ช่วยโรคภูมิแพ้ได้อย่างไร?

เอ็นไซม์ จะพยายามทำลายสิ่งที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ การทำงานของเอนไซม์ต่อโรคต่างๆอาจทำให้มีผลทำให้ เกิดอาการคัน คัดจมูก จนถึงเป็นผื่น เกิดขึ้นแต่ไม่ต้องตกใจเพราะเกิดจากอาการกระทุ้งโรคนั้นเอง

กระบวนการทำงานที่เกิดขึ้นภายในระบบเซลล์ของ เอ็นไซม์ มีอยู่หลายชนิดหนึ่งในนั้นคือ เอ็นไซม์ ทำหน้าที่ขับไล่ของเสีย (scavenger enzyme) เอนไซม์จะคอย ตรวจตราและขับไล่ของเสียภายในระบบเลือดนั้นเองครับ

บางครั้ง เอนไซม์ สามารถพบได้ในเม็ดเลือดขาว สามารถช่วยในเรื่องของการป้องกันการอุดตัน ของหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย เมื่อ เอ็นไซม์ พบสิ่งแปลกปลอมก็จะเข้าจับและเปลี่ยนสิ่งแปลกปลอมนั้นให้อยู่ในรูปที่สามารถกำจัดทิ้งได้ ซึ่งถ้า เอ็นไซม์ ไม่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือของเสียออกไปได้ ของเสียเหล่านี้จะถูกส่งออกจากร่างกายทางผิวหนังและในบางครั้ง จะถูกส่งเข้าไปในเยื่อหุ้มเซลล์ของจมูกและคอ และก่อให้เกิดอาการที่เราเรียกว่าภูมิแพ้

มีนักวิจัยอื่นเชื่อว่าภูมิแพ้เกิดจากการย่อยโมเลกุลของโปรตีนไม่สมบูรณ์ ภูมิแพ้ สามารถรักษาและบรรเทาอาการลงได้ถ้าได้รับ เอ็นไซม์


3/30/2554

เสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วย เอนไซม์

เอนไซม์ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

คนที่มีน้ำหนักเกินคงต้องต่อสู้ระหว่างไขมันส่วนเกินและระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง พวกเขาจะยิ่งเป็นหวัดง่าย เป็นไข้หวัดใหญ่ ติดเชื้อไวรัส เป็นโรคหัวใจ เป็นเบาหวาน และโรคความเสื่อมต่างๆเมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายมีแนวโน้มจะเพิ่มน้ำหนัก ทำให้จิตใจย่ำแย่ และ มันเป็นวงจรชีวิตของคนเรา

• โรคหวัดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

โรคหวัดเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันและแพร่กระจายได้ง่าย โดยจะพบเชื้อไวรัสที่บริเวณทางเดินหายใจมากที่สุด อย่างน้อย 20 ชนิดของไวรัสถูกค้นพบว่าทำให้เกิดโรคหวัด และจู่โจมทุกคนที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ คนไข้ส่วนใหญ่ที่ได้รับเอ็นไซม์สม่ำเสมอจะไม่เป็นหวัด

 • โดยสรุป 

การป้องกันที่ดีที่สุดคือ เสริมเอ็นไซม์ และ ลดน้ำตาล จงตระหนักถึงการบริโภคน้ำตาล ถ้าคุณไม่ต้องการลดน้ำตาล อย่างน้อยก็ควรเพิ่มเอ็นไซม์ อาหารบางชนิดจะถูกย่อย และ สารอาหารบางอย่างจะถูกเก็บกวาดเพื่อจะกำจัดผู้บุกรุก การใช้เอนไซม์โปรตีเอส ระหว่างมื้ออาหารจะช่วยให้ขบวนการทำงานให้ถูกต้อง กระบวนการป้องกันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายเท่านั้น

ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รับอาหารของน้ำตาลเลย เพราะความหวานจากผลไม้สดดีต่อสุขภาพเหมือนกัน แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมมากเกินไป ควรอ่านฉลากอาหารเมื่อจับจ่ายซื้อของ เลือกที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตไม่สูง ข้อดีคือคุณจะรู้สึกว่าเป็นความพยายามที่มีค่า มันยากที่จะเอาชนะอาหารหวาน มันง่ายกว่าที่จะเลิกของหวาน และสร้างระบบภูมิคุ้มกันของเรา มากกว่าทรมานจากความเจ็บปวด ความเจ็บปวด และบวมที่มากับนิสัยชอบกินน้ำตาล เมื่อกินเอนไซม์อะไมเลสปริมาณมากการบวม และการอักเสบในร่างกายจะเริ่มหายไป นี่เกิดขึ้นหลังจากการ ใช้เพียงหนึ่งในเอ็นไซม์มหัศจรรย์จากจุลินทรีย์นมเปรี้ยว และ ยีสต์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร เรารู้ว่าเอนไซม์อะไมเลส พร้อมด้วยอาหาร และเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณมาก จะดีพร้อมสำหรับคนที่ทรมานจากเชื้อราแคนดิดาที่เจริญเติบโตมากเกินไปและอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง สิ่งสำคัญคือ เอ็นไซม์ต้องทำงานร่วมกัน

สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำ คือลดการบริโภคเจ้าวายร้ายต่างๆ ตั้งแต่หลีกเลี่ยงอาหาร และ น้ำ ที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมีทางการเกษตร พอๆกับการจำกัดน้ำตาลที่กดดัน ตับอ่อน ไต และ ตับของพวกเรา นอกเหนือจากนั้น ควรจะลดคาร์โบไฮเดรต (อาหารจำพวกแป้ง) ที่เริ่มกดภูมิคุ้มกันหลังจากที่รับประทานไม่ถึงชั่วโมง เราควรคิด สักสองครั้งก่อนจะกินเนื้อ พร้อมๆกับสารพิษทั้งหมดที่มีอยู่ในสัตว์นั้นๆ ก่อนถูกคุกคามด้วยอันตรายจากสารปนเปื้อนต่างๆ สามสิ่งที่เราสามารถทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง ปลอดโรค ปลอดภัย ได้คือ การลดความเครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คิดแต่ในแง่ดีตลอดเวลา



คุณเคยคิดไหมว่าจำเป็นต้องใช้ ฮอร์โมนทดแทน?

 

คุณเคยคิดไหมว่าจำเป็นต้องใช้ ฮอร์โมนทดแทน?

ร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าพิศวงมากๆครับ ต่อมไร้ท่อนั้นจะหลั่งฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพื่อไปควบคุมการทำหน้าที่ของส่วนต่างๆของร่างกาย ทุกสิ่ง ทุกอย่างได้รับการออกแบบมาเพื่อการทำงานที่สอดคล้องกันเพื่อให้เป็นร่างกาย ที่แข็งแรง ถ้ามีการสร้างฮอร์โมนน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ นั่นเป็น เพราะระบบต่อมไร้ท่อเสียสมดุลและอ่อนแอลงสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติ สร้างให้ก็คือ ความสามารถในการชดเชยสิ่งที่ขาดหายไป ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการผ่าตัดเอารังไข่ออกไป หรือในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่รังไข่มีการทำงานลดลง จะมีต่อมอื่นมาทำหน้าที่สร้างเอสโตรเจนแทน ต่อมเหล่านี้ซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบต่อมไร้ท่อ จะหลั่งฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ของเอสโตรเจนทุกอย่าง ยกเว้นการมีรอบเดือน

คำถามต่อมาคือ ทำไมเราจึงต้องการเอสโตรเจนทดแทน หรือถ้าร่างกายเรามีต่อมอื่นๆที่สามารถสร้างฮอร์โมนขึ้นมาทดแทนเอสโตรเจนได้ ทำไมเราจึงต้องมีอาการก่อนมีประจำเดือนด้วย ?" เมื่ออวัยวะและระบบร่างกายอยู่ในภาวะกดดันหรือถูกบังคับให้สร้าง เราไม่สามารถคาดหวังให้มันทำทุกอย่าง ที่ได้รับคำสั่งมา โดยปราศจากการเรียกร้องสิ่งสนับสนุน (เช่น ถ้าจะทำงานล่วงเวลา ก็ต้องมีค่าตอบแทนพิเศษให้) นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมผู้หญิงจึงเลือกใช้วิธีการ รักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน ความจริงแล้วเอ็นไซม์นั่นเองที่เป็นผู้ช่วยในการสร้างฮอร์โมนที่จะไปยับยั้งความชรา หากคุณขาดเอนไซม์ ขั้นตอนต่างๆ ในการ ควบคุมการสร้างฮอร์โมนก็ถูกสลายไป

ระบบต่อมไร้ท่อของเรามักจะถูกเรียกว่า “จิตใจของร่างกาย” นี่จะทำให้คุณรู้สึกดีว่ามันมีความสำคัญต่อชีวิตขนาดไหน ต่อมไร้ท่อ คือ ตัวขับเคลื่อนระบบต่างๆ ของร่างกายอย่างแท้จริง สมองส่วนไฮโปธาลามัสจะส่งสัญญาณไปที่ต่อมพิทูอิทารี (ต่อมใต้สมอง) ซึ่งเป็นต่อมหลักที่ควบคุมต่อมอื่นๆทั้งหมด ต่อมพิทูอิทารีจะ ส่งข่าวสารไปยังต่อมอื่นๆโดยการหลั่งฮอร์โมนให้ออกไปกับกระแสเลือด การทำงานของต่อมไร้ท่อเปรียบเสมือนเครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ที่มี ประสิทธิภาพสูงและ ทันสมัย สามารถปรับความละเอียดได้สูง และไม่มีการลัดวงจร หากระบบต่อมไร้ท่อ ไม่ได้ทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุดของมัน แสดงว่ามันทำงานบกพร่อง เพราะมันไม่สามารถสนองความต้องการของร่างกายได้ การทำงานของระบบนี้ขึ้นอยู่กับการทำงานของเอนไซม์และระบบประสาท เมื่อต่อมขาดสารอาหารมัน ก็อาศัยเอ็นไซม์เป็นตัวช่วยสกัดเอาสารอาหารบำรุง วิตามิน และเกลือแร่จากอาหารที่เรากินเข้าไป ถ้าปราศจากเอนไซม์ สารอาหารที่จะไปช่วยบำรุงเหล่านี้ก็จะ ไม่สามารถถูกย่อยและถูกดูดซึมได้

ครับมาถึงตอนนี้สำหรับคนที่ต้องการวิธีแบบธรรมชาติ ผมก็มีวิธีที่จะแนะนำดังนี้ การบำบัดด้วยเอ็นไซม์ การใช้ซูเปอร์ฮอร์โมน เพร็กเนนโนโลน ดีเอชอีเอ และไลเปส การใช้วิตามินและเกลือแร่ที่สกัดจากสมุนไพร ธรรมชาติ หรือสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ต่อต่อมไร้ท่อโดยเฉพาะ การจัดอาหารการกินให้เหมาะกับตัวเองเช่น อาหารที่มีโปรตีนสูงสำหรับการควบคุมฮอร์โมนอินซูลิน การจัดการกับความเครียด ทัศนคติ การคิดในเชิงบวก การพักผ่อน การแสดงออกถึงความรู้สึกและความต้องการในทางที่เหมาะสม การหัวเราะ จินตนาการถึงสิ่ง ที่คุณอยากจะเป็น และการออกกำลังกาย


3/29/2554

เอนไซม์สามารถ ลดคอลเลสเตอรอล ได้หรือไม่?

ครับอย่างที่เรารู้ๆกันว่า คลอเลสเตอรอลเป็นสารที่ร่างกายจำเป็นต้องมีไว้ (แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม)  
เพราะคลอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ  ที่จะนำไปสร้างเยื่อบุผนังเซลล์และสร้างเป็นฮอร์โมนชนิดต่างๆ  
หากคลอเลสเตอรอลที่ตับผลิตได้เกิน 200 มก.ต่อวัน  ก็จะทำให้เกิดปัญหาการสะสมคลอเลสเตอรอล เช่น ในผนังหลอดเลือด  
และนำไปสู่ภาวะแรงดันโลหิตสูง  รวมถึงเกิดโรคต่างๆ เช่น หลอดเลือดในสมองแตก  และหากสะสมอยู่ในรูปของไขมัน
ก็จะทำให้เกิดโรคอ้วน

คลอเลสเตอรอล
ภาพแสดงการไหลของเลือดในหลอดเลือด

การกินไขมันสัตว์จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะเกิดการ สะสมอุดตันของคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดซึ่งทำให้เกิดโรค artherosclerosis อย่างไรก็ตามไขมันพืชบริสุทธิ์ที่ไม่ได้ผ่านความร้อนไม่ทำให้ระดับของคลอเรส เตอรอลในเลือดสูงขึ้น นั้นก็เพราะในไขมันพืชที่ไม่ผ่านความร้อนมีเอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase)อยู่ มีการศึกษาพบว่าในเนื้อเยื่อไขมันของคนอ้วนนั้นมีเอ็นไซม์ ไลเปส ( enzyme lipase) อยู่น้อยกว่าคนปกติ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณต้องรับเอนไซม์เสริมเพิ่มเติม

นักวิจัยชาวอังกฤษศึกษาเอ็นไซม์ในผู้ป่วยโรค artherosclerosis เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างคลอเลสเตอรอลกับการอุดตันของหลอดเลือดพบว่าเอนไซม์ทุกตัว ที่ศึกษามีสภาวะการทำงานที่ลดลงตามอายุ และความรุนแรงของโรคของผู้ป่วย นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าปริมาณเอนไซม์ที่ลดลงจะเป็นกลไกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการสะสมของคลอเลสเตอรอล ที่ผนังเซลล์ของหลอดเลือดหัวใจ และยังค้นพบอีกว่าเอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase) ในเลือดของผู้ป่วย artherosclerosis ทั้งในวัยกลางคนและวัยสูงอายุต่ำลง และยังพบอีกว่าในผู้สูงอายุนอกจากเอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase) จะลดลงแล้ว การดูดซึมกรดไขมันก็มีอัตราที่ต่ำลงอีกด้วย การเสริมเอ็นไซม์ ไลเปส (enzyme lipase) ที่สกัดได้จากตับอ่อนของสัตว์ช่วยให้เกิดการย่อยสลายไขมันดีขึ้นและมีเมตาบอลิซึมของกรดไขมันดีขึ้นอีกด้วย 

เอนไซม์ สามารถ ลดเบาหวานได้จริงหรือ?

วันนี้เราจะมาดูกันว่า เอนไซม์ สามารถ ลดเบาหวาน ได้อย่างไร...!
ก่อนอื่นเรามากันสักนิดว่า เบาหวาน เกิดจากอะไร?






เบาหวาน เป็นความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูง เกิน โรคนี้มีความรุนแรงสืบเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่าง เหมาะสม โดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของ ฮอร์โมนอินซูลิน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

ครับที่นี้เรามาดูกันว่าเอนไซม์สามารถลดเบาหวานได้อย่างไร?
http://www.muslimthai.com/main/images/ad_e/enzymes/enzymes.gif
     การใช้เอนไซม์บำบัดนั้น จากการวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานจะมีเอ็นไซม์ อะไมเลส (amylase) ในเลือดต่ำ และระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นกว่าปกติ การเสริมเอ็นไซม์ อะไมเลส (amylase) จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง และยังพบอีกว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยโรคเบาหวานจะขาดเอ็นไซม์ อะไมเลส (amylase) ในของเหลวในลำไส้เล็ก เมื่อเสริมเอ็นไซม์ อะไมเลส (amylase) ให้กับผู้ป่วยเบาหวาน พบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยไม่ใช้ต้องอินซูลิน แสดงว่าเอ็นไซม์ อะไมเลส(amylase) มีส่วนช่วยในการสลายน้ำตาลในเลือดได้ มีการศึกษาอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจโดยพบว่า การกินแป้งที่ผ่านความร้อนมาแล้ว จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในครึ่งชั่วโมง หลังจากการย่อยสลาย และหลังจาก 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะตกลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการเมื่อยตามร่างกายกระสับกระส่าย และเกิดอาการเฉื่อยชา ตรงกันข้ามกับการกินแป้งดิบ ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มและลดเพียงเล็กน้อย ระดับเมตาบอลิซึมและการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยก็เป็นปกติ ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานสามารถลดการใช้อินซูลินได้โดยการกินอาหารสดหรือเอ็นไซม์เสริม

     
เอนไซม์สามารถรักษาโรคน้ำตาลในเลือดต่ำได้อย่างไร?

     ชาวอเมริการ้อยล้านคน ป่วยเป็นโรคน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หดหู่ และเฉื่อยชาอันเป็นผลมาจากการที่สมองต้องการน้ำตาลเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน การควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดขึ้นกับระบบต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ได้แก่ต่อม Pituitary ต่อมไทรอยด์และตับอ่อน อินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อนจะลดปริมาณของกลูโคสในเลือดโดยส่งกลูโคสเข้าสู่ เซลล์ และสาร glucagon ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากตับอ่อนจะเพิ่มน้ำตาลกลูโคสในเลือดเมื่อมีระดับต่ำลง ส่วนต่อมไทรอยด์จะหลั่งสาร thyroxin ควบคุมเมตาบอลิซึมของเซลล์และการใช้ออกซิเจนสำหรับสร้างพลังงาน ต่อมไร้ท่อทั้งหมดนี้จะถูกควบคุมโดยต่อม pituitary ซึ่งจะถูกควบคุมอีกทีโดยสมองส่วน hypothalamus สมองส่วนนี้จะได้รับข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผ่านทางระบบประสาท เมื่อร่างกายมีปริมาณเอ็นไซม์ไม่เพียงพอเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ต่อม pituitary และอวัยวะอื่นๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย การเสริมเอ็นไซม์ อะไมเลส (amylase) หรือกินอาหารสดจะช่วยรักษาระดับของกลูโคสให้คงที่ได้


 

3/28/2554

เอนไซม์สามารถรักษา โรคมะเร็ง ได้จริงหรือ?

ก่อนอื่นนะครับ เรามาทำความรู้จักกับ โรคมะเร็ง กันสักนิดนะครับ

http://img6.uploadhouse.com/fileuploads/8966/896639603990f8e20dfa1924a797419af8acc75.jpg

มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และ มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

เท่าที่มีรายงานไว้ใน ขณะนี้ มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด มะเร็งแต่ละชนิดจะมีการ ดำเนินของโรคไม่เหมือนกัน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง จะมีการดำเนินชนิดของ โรค ที่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีชีวิตการอยู่รอดสั้นกว่าผู้ป่วย มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

ดังนั้น การรักษามะเร็งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สภาพร่างกาย และความเหมาะสม ของผู้ป่วยมะเร็ง การรักษาจะยากหรือง่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งและ การดำเนินโรคของมะเร็งด้วย เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งผิวหนัง รักษาง่ายกว่า มะเร็งปอด มะเร็งสมอง เป็นต้น

ดังนั้นการรักษาโดยวิธีเอนไซม์บำบัดจึงต้องการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก มีหลายงานวิจัยระบุไว้ว่าเซลล์มะเร็งส่วนใหญ่เป็นเซลล์ที่ขาดเอ็นไซม์ ในการที่จะให้เซลล์ทำงานได้อย่างเป็นปกติ ร่างกายจำเป็น ต้องได้รับสารอาหารพวกโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ แต่ในการกินอาหารแต่ละวันนั้นเราไม่สามารถรับสารอาหารเหล่านี้ได้อย่างพอ เพียง เมตาบอลิซึมของเอนไซม์จะทำหน้าที่ในการลำเลียงสารอาหารเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือด เส้นประสาท อวัยวะต่างๆจนถึงระดับเนื้อเยื่อ ถ้าคุณมีเอ็นไซม์ที่มีศักยภาพในการย่อยอาหารได้มาก แต่เมตาบอลิซึมของเอนไซม์คุณไม่ดี คุณก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งได้ ถึงแม้ว่าคุณจะรับเอ็นไซม์เสริมเข้าไป คุณก็จะต้องมีกิจกรรมของเอนไซม์ที่สมบูรณ์เพื่อนำสารอาหารเหล่านี้ไปสู่เซลล์ ซึ่งจะช่วยต่อสู้และป้องกันคุณจากมะเร็งได้


 

แล้วเอนไซม์เสริมจะช่วยป้องกันหรือรักษาโรคมะเร็งได้อย่างไร ?
ในเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม มี 2 ทฤษฎีที่สามารถตอบคำถามนี้ได้

     ทฤษฎีที่ 1 นักวิจัยได้ทำการศึกษาจนรู้ถึงสาเหตุของการเกิดมะเร็งว่า เกิด จากการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรม (D N A) ในเซลล์ปกติ ซึ่งมีสาเหตุจากความเครียด โรคอ้วน การกินไขมันอิ่มตัว แสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ที่มากเกินไปและสาเหตุอื่นๆ อันจะมีผลต่อนิวคลีโอไทด์ทั้ง 4 ชนิด (adenine, gunine, cyiosine และ thymine) ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพทางเคมีของพันธุกรรม ทำให้เกิดการสร้างสายโปรตีนที่ผิดปกติ และจะมีผลให้เกิดการสร้างสายโปรตีนที่ผิดปกติไปเรื่อยๆ จนเกิดการลามและทำลายเซลล์อื่นๆ ในร่างกายเราอาจมีเซลล์แบบนี้อยู่ตั้งแต่ 100 จนถึง 10,000 เซลล์ แต่ธรรมชาติได้มีการเตรียมเอ็นไซม์บางชนิดเพื่อซ่อมแซมสารพันธุกรรมให้กลับมาเป็นปกติ เพื่อที่จะสร้างสายโปรตีนที่ถูกต้อง ถ้าคุณได้รับการเสริมเอนไซม์ ร่างกายคุณก็อาจจะสามารถสร้างเอ็นไซม์ที่ใช้ในการซ่อมแซมสารพันธุกรรมนี้ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งได้

      ทฤษฎีที่ 2 กล่าวว่า เซลล์มะเร็งจะถูกปกคลุมได้ด้วยเยื่อหุ้มเพื่อ ป้องกันการรุกรานของเม็ดเลือดขาว สาเหตุที่เม็ดเลือดขาวไม่สามารถเข้าทำลายเซลล์มะเร็งได้เนื่องจากไม่สามารถ จดจำได้ว่า เป็นเซลล์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีนักวิจัยหลายคนเชื่อว่าโปรตีนที่ปกคลุมเหล่านี้จะปลอมแปลงเซลล์มะเร็งให้เหมือนกับเป็นมิตรต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามการกินเอ็นไซม์เสริมโดยเฉพาะ เอนไซม์ แมนเดล จะช่วยในการสลายโปรตีนที่ปกคลุมเซลล์มะเร็ง ทำให้เม็ดเลือดขาวสามารถเข้าทำลายเซลล์มะเร็งได้


ภัยเงียบที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตมากที่สุด ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

ภัยเงียบที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตมากที่สุด ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน..!


http://img.kapook.com/image/al.jpg


ครับหลายๆคนคงไม่เคยรู้มาก่อน ที่เรารู้ๆหรือเห็นๆกันตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ คือการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ มะเร็ง โรคร้ายแรงต่างๆ แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ข้อมูลนี้


นั้นก็คือ "การขาดเอนไซม์นั้นเอง" โดยปรกติธรรมชาติร่างกายของมนุษย์จะมีทั้งขยะที่เกิดจากการกินอาหารที่ย่อยไม่สมบูรณ์ ไขมันส่วนเกิน ซากเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ที่เสื่อมสภาพและตายลง ที่สำคัญ เราสร้างอนุมูลอิสระเองอันเกิดจากการหายใจนำเอาออกซิเจนเข้าไปใช้งาน ยังแถมสร้างเซลล์ผิดปกติออกมาตลอดเวลาจากการแบ่งตัวและสร้างเซลล์ใหม่ของ D N A นี่เป็นเพียงแค่เฉพาะในร่างกายของเราเท่านั้น ที่มีขยะอันเกิดจากการที่ชีวิตต้องมีชีวิตอยู่


   สังคมปัจจุบันมีแต่การเร่งรีบและแข่งขัน ถ้าในด้านการทำงานส่วนบุคคลก็สร้างความเครียดให้ไม่น้อยในแต่ละวัน ความเครียดคือศัตรูร้ายอย่างที่เราคาดไม่ถึง อันเนื่องมาจากอารมณ์ที่มีแรงกดดันต่ออาชีพการงานในการดำรงอยู่ของชีวิต และเจ้าอารมณ์นี้แหละที่ไปกดดันให้ระบบประสาทเกิดความตึงเครียด ทำให้หัวใจทำงาน หนักเพื่อสูบฉีดโลหิต ทำให้หลอดเลือดขยายตัวผิดปกติ ทำให้หายใจเร็วขึ้นปอดทำงานหนักขึ้น จึงเกิดแรงกดดันทั่วร่างกาย ร่างกายจึงรู้สึกถึงความไม่ปกติและความ ไม่ปลอดภัยต่อชีวิตก็ผลิตสารเคมีเพื่อต่อต้านและให้ผ่อนคลาย แต่ผลนั้นกลับตรงกันข้ามสาเคมีที่ผลิตออกมากลับเป็นพิษและทำลายเซลล์เนื้อ เยื่อต่างๆ เสียหาย ทำให้ อวัยวะอ่อนแอและทำงานด้อยประสิทธิภาพลง อวัยวะที่อ่อนแอเป็นเป้าโจมตีของเซลล์มะเร็ง ถ้าในด้านอุตสาหกรรมก็เร่งการผลิต ขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับ กับการบริโภคจึงเกิดการแข็งขัน ความร้อนจากการผลิตทำลายสภาวะแวดล้อมเพิ่มอุณหภูมิให้โลกร้อนขึ้น เมื่อโรคร้อนขึ้นเชื้อแบคทีเรียก็ขยายพันธุ์ได้เร็วขึ้น ปล่อย สารเคมีลงน้ำในแม่น้ำทำลายระบบนิเวศธรรมชาติของสัตว์น้ำ ปล่อยแก็สพิษและควันพิษออกสู่บรรยากาศภายนอกสร้างมลภาวะที่เป็นพิษ ทั้งหลายที่กล่าวมานี้ล้วน สร้างอณุมูลอิสระให้ร่างกายทั้งสิ้นเพราะเราต้องอยู่ในสังคม เราต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน เราใช้อากาศ น้ำ และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ควันพิษจากท่อไอเสีย รถยนต์เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากมากสำหรับชีวิตคนเมือง คาร์บอนไดออกไซน์เมื่อสูดเข้าระบบเดินหายใจสูงมากเกินปริมาณที่ร่างกายจะ กำจัดได้ ทำให้ระบบทางเดินหาย ใจเสียหาย ทำให้เลือดเสียหาย ทำลายอวัยวะภายในทุกระบบ แล้วชีวิตเราก็อยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลาในทุกลมหายใจ ในอาหารทุกมื้อ แล้วเราจะปกป้องชีวิตเราได้ อย่างไร

    และแล้วธรรมชาติก็สร้างมนุษย์มาพร้อมกับเครื่องจักรอัจฉริยะที่สุด ที่ยังไม่สามารถหาเครื่องจักรที่มนุษย์คิดค้น และบอกว่านี้คือสุดยอดเทคโนโลยีมาเทียบได้เลย ร่างกายมนุษย์สามารถซ่อมตัวเอง ปกป้องตัวเองจากภัยคุกคาม การเจริญเติบโตของมนุษย์มาจากเซลล์เล็กๆ กว่า 100 ล้านล้านเซลล์ มีสมองที่เป็นระบบสั่งการที่ ซับซ้อนทั้งแบบกึ่งอัตโนมัติและแบบอัตโนมัติ มีประสาทโยงใยที่ค่อยส่งคำสั่งด้วยกระแสคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีหัวใจเป็นปั๊มขนาดเล็กที่ทรงพลังมีหน้าที่สูบฉีดโลหิต ไปเลี้ยงเซลล์ในอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีปอดไว้กรองออกซิเจน มีตับไว้ชำระล้างสารพิษ มีไตคอยรับของเสียจากร่างกายและขับออกทิ้ง มีต่อมไร้ท่อที่ค่อยผลิต ฮอล์โมนและสารเคมีเพื่อควบคุมการทำงานด้านอารมณ์ มีเซลล์กล้ามเนื้อมากกว่า 10,000 มัดที่ไว้ใช้ในการพยุงร่างกายให้เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องตัว มีกระดูกเป็นเกราะค่อยป้องกันอวัยวะภายในจากความเสียหายจากภายนอก สร้างเซลล์ผิวหนังไว้เพื่อห่อหุ้มร่างกายเพื่อปกป้องทั้งชีวิตและอีกมากมาย หลายหน้าที่ใน หลายๆอวัยวะ

    การมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ต้องใช้พลังงาน และพลังงานก็มาจากสารอาหาร และสารอาหารก็มาจากอาหารที่เรากินเข้าไป ขบวนการทั้งหมดจะเปลี่ยนสภาพจากอาหาร เป็นสารอาหารและเป็นพลังงานได้ต้องใช้เอ็นไซม์เป็น ตัวย่อย และเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น อาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอันดับแรกของการดำรง ชีวิตมนุษย์ เมื่อเซลล์ได้รับสารอาหารที่ดีและมีคุณภาพเซลล์ก็แข็งแรง ถ้าเป็นเซลล์หัวใจ หัวใจก็แข็งแรง ถ้าเป็นเซลล์ปอด ปอดก็แข็งแรง ถ้าเป็นเซลล์ตับ ตับก็แข็งแรง เป็นต้น โดยปกติเซลล์ ดี เอ็น เอ (D N A) ของร่างกายจะมีการแบ่งตัวสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนกันทุกวัน เพราะเนื่องจากความเสื่อมสภาพของเซลล์อันเป็นผลมาจาก เสื่อมสภาพโดยธรรมชาติ หรือเสื่อมสภาพจากการขาดสารอาหาร หรือเสื่อมสภาพจากถูกอณุมูลอิสระโจมตี ถ้าโดยปกติเซลล์ ดี เอ็น เอ แข็งแรงและไม่มีอณุมูลอิสระ มาทำลายโครงสร้างบางส่วนก็จะแบ่งตัวเซลล์ใหม่ได้สมบูรณ์ แต่ถ้าเซลล์ ดี เอ็น เอ ไม่แข็งแรงก็อาจจะเกิดความผิดพลาดในการแบ่งตัว ทำให้เกิดเซลล์ผิดปกติขึ้น ซึ่ง เซลล์ผิดปกติก็ไม่สามารถรวมตัวอยู่กับเซลล์ปกติของอวัยวะนั้นๆได้ก็ต้องรอน เร่ไปตามกระแสโลหิต และคอยหลบเซลล์เพชฌฆาตหรือเซลล์เม็ดเลือดขาว ด้วยการใช้ เศษโปรตีนที่ย่อยไม่สมบูรณ์ สารอาหาร และซากเซลล์ที่ตาย มาเป็นอาหารและสร้างเป็นเปลือกห่อหุ้มตัวเองให้พ้นอันตรายจากเซลล์เพชฌฆาต เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือเซลล์เพชฌฆาตนั้นโดยหน้าที่หลักคือการตรวจจับและทำลายเซลล์ผิดปกติและ เชื้อโรคที่บุกรุก ในขณะที่เซลล์ผิดปกติเดินทางอยู่ในกระแสโลหิตนั้นพบอวัยวะใด อ่อนแอเซลล์ผิดปกติก็จะเข้าโจมตีเพื่อยึดเป็นที่อยู่ เราเรียกอวัยวะที่ถูกเซลล์ผิดปกติเข้าไปทำลายนี้ว่า “มะเร็ง” แต่ถ้าในกระแสโลหิตมีเอ็นไซม์โปรติเอสอยู่จำนวน มากพอสมควร เซลล์ผิดปกติก็ไม่มีโอกาสที่จะไปทำลายและยึดเกาะกินอวัยวะที่อ่อนแอได้ เพราะเนื่องจากจะถูกเอ็นไซม์โปรติเอสเข้าไปย่อยเปลือกหุ้มเซลล์ผิด ปกติและเผยตัวเซลล์ที่แท้จริงออกมา ทำให้เม็ดเลือดขาวหรือเซลล์เพชฌฆาตเห็นและเข้าไปทำลายได้ทันที





อาหารขยะ “Junk Food”

ทุกวันนี้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมากทำให้ วิถีชีวิต   และพฤติกรรมของคนไทยเปลี่ยนไปต้องฝากท้อง   กับอาหารสำเร็จรูป และอาหารด่วนซึ่งส่วนใหญ่มาในรูปอาหารตะวันตก ประเภทสะดวก และรวดเร็ว ทำให้ร้านสะดวกซื้อมีเพิ่มมากขึ้น เพราะซื้อหาได้ทั่วไป ถุกปากคนรุ่นหใม่ ใส่บรรจุภัณฑ์ เก๋ไก๋ พกพาสะดวก


คำว่า “Junk Food” เป็นศัพท์แสลงของอาหารที่มีสารอาหารจำกัดหรือที่เรียกว่า “อาหารขยะ” หมายถึง อาหารที่ให้ประโยชน์ทางโภชนาการน้อย และถ้ากินมากหรือกินประจำจะเป็นโทษต่อร่างกาย อาหารขยะส่วนใหญ่ประกอบด้วย น้ำตาล ไขมัน และแป้ง แต่มีส่วนประกอบของโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่น้อยมาก เช่น ลูกอม น้ำอัดลม อาหารจานด่วนบางชนิด ขนมขบเคี้ยว บะหมี่ซอง อาหารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแป้งที่ขัดสีเอาเส้นใยและวิตามินออกหมด ใช้น้ำตาลที่ผ่านการฟอกขาว แล้วเติมด้วยสารแต่งสี/กลิ่น ผงชูรส ตามด้วยกระบวนการทอด เป็นต้น


 
การบริโภคอาหารขยะเป็นประจำเป็นสาเหตุให้ ร่างกาย ขาดสารอาหาร โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เสี่ยงต่อภาวะการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไข้อ และโรคอ้วน ซึ่งส่งผลเสี่ยงต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองด้วย เช่นปัญหาด้านความจำของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน หรือคนที่ชอบบริโภคอาหารประเภทไขมันสูง   ทำให้มีปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี หรือ Low Density  Lipoprotein (LDL) และปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูงจากงานวิจัยของ จอห์น   มอร์เลย์และคณะ   แห่งมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูริ พบว่าในหนูที่กินอาหารไขมันสูง  จะมีปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูง    ซึ่งปริมาณไตรกลีเซอไรด์ที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสาเหตุทำให้เสียความทรงจำ โดยศึกษาทดลองให้หนูกินยาที่มีผลลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ แต่ไม่มีผลให้น้ำหนักตัวลด พบว่าผลทดสอบด้านความจำดีขึ้น
http://www.vcharkarn.com/uploads/159/159781.jpg

นอกจากนี้อาหารขยะยังเป็นสารก่อภูมิแพ้ (allergen) ที่ถูกมองข้าม เนื่องจากอาหารขยะมีการดัดแปลงและปรุงแต่งโดยมีการใช้สารในกลุ่มสารแต่งสีอาหาร เช่น ทาร์ทราซีน (tartrazine) ให้สีเหลืองส้นอะมาเรนท์ (amaranth) ให้สีแดง เป็นต้น ซึ่งพบได้ในขนมและน้ำอัดลมต่างๆ ที่มีสีสันสดใส กลุ่มสารกันบูด เช่น กรดเบนโซอิก (benzoic acid) โซเดียมเบนโซเอท (sodium  benzoate) ซึ่งมักพบในอาหารกึ่งสำเร็จรูปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่ซอง ขนมกรุบกรอบ กลุ่มสารกันหืน ได้แก่ สารบิวทิลเลตไฮดรอกซีอะนิโซล (butylated  hydroxyanisole) ซึ่งมักพบในอาหารประเภททอด ขนมกรุบกรอบ ไอศกรีม มาการีน เป็นต้น กลุ่มสารเพิ่มเนื้อและสารที่ทำให้ข้น เพื่อให้ปริมาณดูมากขึ้น ได้แก่ วุ้น (agar) คาร์ราจีแนน (carrageenan) ซึ่งมักพบในอาหารประเภทไอศกรีม เยลลี ครีมแต่งหน้าเค้ก เนยแข็ง กลุ่มผงชูรส ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดอาการผื่นแดงและอักเสบของผิว สำหรับคนที่มีแนวโน้มผิวแพ้ง่าย สารในกลุ่มเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงแต่งอาหารขยะซึ่งเป็น สารก่อภูมิแพ้


จุดเริ่มต้นของการใช้ เอนไซม์บำบัด

การใช้เอนไซม์บำบัด (Enzyme Therapy), การมีเอนไซม์บกพร่อง (Enzyme Deficiency)เกิดจากหลายสาเหตุ


เอนไซม์


1. ถ้าทุกคนกินอาหารที่ปรุงแต่งอย่างปัจจุบันต้องมีปัญหาการขาดเอนไซม์ 
Dr. Dick Couey อาจารย์โภชนาการของBayloy University กล่าวว่า ในปัจจุบันพวกเรากินอาหารที่ไม่มีเอนไซม์ เพราะเป็นอาหารปรุงสำเร็จ (Processed) หรือ เอามาหุงต้ม (Cooked) ทำให้เอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย  ดร.คูอี้ได้ย้ำว่า ตนเองจะไม่กินอาหารอีกถ้าไม่มีเอนไซม์เสริมมากินร่วมด้วย (I will never eat another meal without taking a plant enzyme supplement)
ตามทฤษฎี ร่างกายต้องใช้เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) เพื่อย่อยอาหาร ถ้ามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) มาเสริมด้วยกัน จะช่วยย่อยได้ครึ่งหนึ่ง แต่อาหารที่กินในยุคสมัยนี้ไม่มีเอนไซม์ตามธรรมชาติ เพราะถูกทำลายจากการหุงต้ม ดังนั้นร่างกายจึงต้องไปดึงเอาเมตาบอลิค เอนไซม์ มาเปลี่ยนโฉมให้เป็นเอนไซม์ย่อยอาหาร ถ้าทำบ่อยๆ จะมีระดับเอนไซม์ (เมตาบอลิค) บกพร่อง และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ



2. ธรรมชาติสร้างตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme Inhibition) ไว้กับพืช  พืชซึ่งมนุษย์ใช้กินทุกชนิด มีเอนไซม์ทำการย่อยอาหารอยู่ในตัวของมันเอง มีตัวห้ามหรือตัวยับยั้งเอนไซม์ ยังไม่ยอมให้ทำงานจนถึงเวลาอันควร เช่นเมื่อผลไม้ต้องสุกตามฤดูกาล  โดยปกติตัวห้ามเหล่านี้จะเริ่มอ่อนแรง หรือหมดสภาพ ก็โดยสิ่งแวดล้อมรอบตัวมันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อเราเคี้ยวอาหารในปากก็คือ เรากำลังทำให้สภาวะเดิมรอบข้างของตัวห้ามเปลี่ยนไปจนตัวห้ามหยุดทำงาน ทำให้เอนไซม์ในอาหารเป็นอิสระ เพราะไม่มีอะไรมายับยั้ง แต่อย่างไรก็ดี ตัวห้ามก็ยังมีจำนวนสูงอยู่มากในพืชบางระยะของการเจริญเติบโต เช่น ยอดใบไม้ ยอดผัก พืชยังอ่อน เป็นต้น


ในบางกรณี ท่านอาจกินอาหารประเภทยอดผักอ่อนสดๆ ท่านก็จะกินตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme Inhibitor) เข้าไปมากจนพลอยเข้าไปห้ามการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตออกจากตับอ่อนของตัว ท่านเองเข้าไปด้วย กลายเป็นมีเอนไซม์ ติดลบ
 

ทางเลือกที่หนึ่งคือ ท่านอาจจะต้องกินเอนไซม์เสริมชดเชย
ทางเลือกที่สองคือ เอายอดผักมาต้ม เพื่อจะให้ความร้อนทำลายตัวห้าม (Inhibitor) แต่ก็จะพลอยทำลายเอนไซม์จากพืชซึ่งเป็นอาหาร (Food Enzyme) พร้อมกันไปเลยด้วย



3. อายุมากขึ้น การผลิตเอนไซม์ของร่างกายลดลง
ในสหรัฐอเมริกา นักวิทยาศาสตร์โรงพยาบาลไมเคิล รีส รัฐชิคาโก ได้ทำการวิจัยหาค่าของเอนไซม์อไมเลส (Amylase) ในน้ำลายจากคน 2 กลุ่มอายุด้วยกัน คือ กลุ่มหนุ่มสาว (21-31 ปี) กับกลุ่มคนชรา (69-100 ปี) พบว่า กลุ่มหนุ่มสาวมีเอนไซม์อไมเลสซึ่งใช้ย่อยอาหารประเภทแป้ง มากเป็น 30 เท่าของกลุ่มผู้สูงอายุ นี่คือเหตุผลที่ว่าเมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว กินอาหารประเภทสำเร็จรูป และ อาหารฟาสต์ฟู้ด (Fast Food) โดยไม่มีปัญหาการย่อย ไม่มีทางเจ็บป่วย แต่เมื่อแก่ตัว เอนไซม์ลดลง จะย่อยอาหารต่างๆ ได้ลำบาก ทำให้มีอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง และถ้าพฤติกรรมการบริโภคยังเป็นอยู่อย่างนี้ (Poor Eating Habits) ท่านอาจแก่ตัวเร็วกว่าเพื่อนๆ ของท่านได้



4. มีสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การย่อยอาหาร (Digestion) บกพร่อง วิธีง่ายๆ ในการแก้ไขคือ ให้กินเอนไซม์ที่ผลิตมาจากพืชจะทำให้อาการกระเพาะและลำไส้แปรปรวนทุเลาลง ได้  ถ้าศึกษาย้อนกลับไปหาสาเหตุก็คือ การย่อยอาหารไม่ดี การมีสารพิษ (Toxin) เนื่องจากมีกากอาหารที่ไม่ย่อย หมักหมมอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาการต่างๆ ดังกล่าว เชื่อว่าการกินเอนไซม์เสริมชนิดช่วยย่อยจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด


ถึงแม้ร่างกายผลิตเอนไซม์เพื่อย่อยอาหารได้เอง แต่สาเหตุที่ทำให้ผลิตเอนไซม์บกพร่อง ทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ที่พบบ่อยคือ
 

1.ขาดการออกกำลังกาย และอยู่ในที่สิ่งแวดล้อมมีมลภาวะ (Poor Life Style)
2.มีความเครียดทั้งทางร่างกาย หรือ ทางจิตใจ (Stress Physical or Mental)
3.ดื่มสุรา อาหาร หรือน้ำไม่สะอาด (Alcohol, Polluted Food or Water)
4.กินอาหารปรุงสำเร็จซึ่งเอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย (Not just Fast Food, Eat even Cooked Food)